นับวันเรื่องของการศัลยกรรมเสริมหน้าอกก็ดูจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญมากขึ้นเรื่อย ๆ จากความคิดว่ามันไกลตัวและน่ากลัว ในตอนนี้สาว ๆ ก็เริ่มหันมาสนใจการศัลยกรรมเพื่อปรับแต่งรูปร่างหน้าตาของตัวเองกันมากขึ้น และหนึ่งในการศัลยกรรมยอดฮิตในบรรดาคุณผู้หญิงก็เห็นจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกเสีย “การศัลยกรรมเสริมหน้าอก” ที่สามารถครองตำแหน่งเป็นศัลยกรรมยอดนิยมอันดับต้น ๆ เอาไว้ได้อย่างยาวนาน แต่รู้ไหมจ๊ะว่ากว่ามันจะกลายเป็นการศัลยกรรมที่ปลอดภัยขึ้น สวยขึ้น อยู่ได้นานคงทนถาวรขึ้นอย่างในปัจจุบันนี้ ก็มีที่มายาวนานเหมือนกันนะเผื่อว่าใครกำลังสนใจการศัลยกรรมอัพไซส์รู้เอาไว้ก็ดี
ย้อนหลังไปดูประวัติของการทำศัลยกรรมเสริมหน้าอกหน้าอกครั้งแรกมันถูกลงมือในช่วงปี 1890’s โดยดอกเตอร์โรเบิร์ต เกอร์ซูนี่ ศัลยแพทย์ชาวออสเตรีย โดยใช้การฉีดพาราฟินเข้าไปเพื่อเสริมขนาดอย่างไรก็ดี หลังจากคงลักษณะเหลวได้ไม่นาน หน้าอกที่เสริมก็กลับกลายเป็นตะปุ่มตะป่ำและแข็งด้าน วัสดุนานาชนิดได้ถูกนำมาใช้เพื่อเสริมขนาดหน้าอก ทั้งลูกบอลเล็กที่ทำจากแก้วกระดูกอ่อนจากวัว ยาง ไปจนถึงงาช้าง แต่อย่างไรก็ดีในปัจจุบันวัสดุที่จะนำมาใช้เสริมหน้าอกได้นั้นต้องผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาอย่างถูกต้องเสียก่อน ซึ่งได้แก่ การเสริมด้วยซิลิโคน และถุงน้ำเกลือนั่นเอง
การพัฒนาอีกขั้นของการศัลยกรรมหน้าอกเกิดขึ้นในปี 1961 โดยศัลยแพทย์พลาสติกจากสหรัฐฯ โทมัส โครนิน และ แฟรงค์ เกโรว์ ทั้งคู่เป็นผู้ริเริ่มใช้ซิลิโคนเจลรูปหยดน้ำในการเสริมหน้าอก ซึ่งกลายเป็นรากฐานของซิลิโคนเสริมหน้าอกที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน โดยก่อนหน้านั้นมีการใช้วัสดุแปลก ๆ หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นน้ำมันพืชสายพอลิโพรพิลีนรวมทั้งซิลิโคนแบบคงรูปหรือที่เรียกว่า กัมมี่ แบร์ ด้วย แม้ว่าการวัสดุที่ใช้เสริมหน้าอกในปัจจุบันจะได้รับการรับรองว่าปลอดภัยไม่ไหลเสียรูปทรง แต่อย่างไรก็ดี ในกรณีเกิดการฉีกขาดหรือซึมของวัสดุเสริมหน้าขึ้นมา โดยเฉพาะประเภทถุงน้ำเกลือ ก็ไม่อาจสังเกตทราบได้ทันที การทำเอ็มอาร์ไอสแกน ก็จะช่วยตรวจดูความเรียบร้อยปลอดภัยของหน้าอกที่ผ่านอัพไซส์มาได้ ซึ่งหากใครวางแผนจะอัพอึ๋มก็ควรคิดเผื่อค่าใช้จ่ายส่วนนี้เอาไว้ด้วย